ประชุมคณะผู้บริหาร กทม. ที่มีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธาน ได้มีข้อสรุปตามที่สำนักสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ให้เลื่อนการบังคับใช้ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ที่ให้เพิ่มค่าจัดเก็บขยะจาก 20 เป็น 80 บาทนั้น ให้เลื่อนไปอีก 1 ปี คือ จากเดิมกำหนดว่าจะเริ่มจัดเก็บวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2566
โดยเหตุผลสำคัญ ข้อแรกคือ เกรงว่าจะเป็นการเพิ่มภาระประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้ และข้อสอง มองว่า ควรไปลดต้นทุนในการจัดการขยะที่ กทม.ต้องจ่ายปีละกว่า 8,000 ล้านบาท มากกว่าการไปเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมจัดเก็บขยะ
โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ฝ่ายบริหารก็จะยื่นเรื่องต่อที่ประชุมสภา กทม.ในวันที่ 29 สิงหาคม นี้ เพื่อขอความเห็นชอบในการเลื่อนการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว
ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ระบุว่า เห็นด้วยกับการที่ กทม.จะเลื่อนการขึ้นค่าขยะออกไป เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน เพราะหากพิจารณาค่าธรรมเนียมจัดเก็บขยะที่ผ่านมา มักจะแปรไปตามจำนวนครัวเรือน แทนที่จะแปรไปตามปริมาณขยะที่จัดเก็บได้ ขณะที่บ้านแต่ละหลัง ไม่ได้มีปริมาณขยะมากนัก เมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ
ส่วนรายได้ของ กทม.ที่จะหายไปจากการเลื่อนขึ้นค่าธรรมเนียมขยะ โดยในปีงบประมาณ 2566 ที่เคยประมาณการไว้ว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้ 800 ล้านบาท ก็อาจจะจัดเก็บได้เพียง 512 ล้านบาทนั้น
นายวิโรจน์ เสนอว่า ผู้ว่าฯ กทม. อาจสั่งการให้แต่ละเขตประเมินปริมาณขยะของห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อใหม่ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แทนการประเมินตามดุลพินิจ รวมทั้งทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมขยะในกลุ่มห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งหากทำทั้ง 2 ข้อ นี้ นอกจากจะทำให้ กทม. จัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะได้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังสามารถจูงใจผู้ประกอบการให้แยกขยะมากขึ้นด้วย
อัตราค่าธรรมเนียม 20 บาท ที่จัดเก็บในปัจจุบัน เป็นไปตาม “ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ.2562” ซึ่งตั้งแต่ปี 2563 ก็มีความพยายามเสนอเพิ่มอัตราค่าจัดเก็บมาแล้ว แต่ก็มีการเลื่อนมาตลอด โดยครั้งนี้ หากสภา กทม.ยอมตามข้อเสนอของฝ่ายบริหาร ก็จะเป็นการเลื่อนเป็นครั้งที่ 4