คัดลอก URL แล้ว
แม่แตงโม เบนเข็มใหม่ พุ่งเป้า “ฆาตกรรม” จากมุมมองทนายตั้ม และ นักวิชาการด้านอาชญวิทยา

แม่แตงโม เบนเข็มใหม่ พุ่งเป้า “ฆาตกรรม” จากมุมมองทนายตั้ม และ นักวิชาการด้านอาชญวิทยา

KEY :

ในรายการเจาะข่าวเด็ด The Day News Update Special ทางช่อง Mono 29 ซึ่งมีพิธีกร คุณบ๊อบ ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ พูดคุยในประเด็นที่คุณแม่ภนิดานำโทรศัพท์มือถือของดาราสาวแตงโม ภัทรธิดา ให้กับบังแจ็ค สร้างความกังวลว่าอาจถูกนำไปใช้ในทางไม่ดี จากประวัติของบังแจ็คที่มีคดีติดตัวอยู่หลายคดี โดยได้ร่วมถอดรหัสความคิดบังแจ็ค กับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการณะอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต รวมทั้งพูดคุยกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ในมุมมองหลังแม่ภนิดาเปลี่ยนผู้ช่วยใหม่โดยเชื่อว่าเป็นคดีฆาตรกรรม

พิธีกร : ทนายตั้มกำลังถูกฟ้องร้องมองเรื่องนี้ยังไง
ทนายษิทรา : มันเกิดจากการที่โพสต์ถามว่าเป็นแม่ยังไงทำไมถึงเอาหลักฐานที่สำคัญและเป็นของส่วนตัวของแตงโมเอาไปให้กับมิจฉาชีพ ซึ่งคิดว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และที่โพสต์คนที่จะฟ้องผมได้น่าจะเป็นบังแจ๊คมากกว่า เพราะไปกล่าวหาว่าเป็นมิจฉาชีพ แล้วผมก็ท้าเลยว่าให้บังแจ๊คฟ้องมาเลย กลับไทยมาแล้วก็ฟ้องผมให้ได้ และผมก็จะพิสูจน์ว่าการกระทำของบังแจ๊คเนี่ยไม่ใช่คนดีๆ ที่ทำกัน

พิธีกร : ในมุมของทนายษิทรา หลักฐานที่เปิดออกมาในภายหลัง หลังจากที่ตำรวจออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว มันจะช่วยทำให้คดีนี้ไปถึงขั้นเป็นคดีฆาตกรรมได้ไหมครับ
ทนายษิทรา : คือผมก็หวังนะครับว่าหลักฐานที่เขาจะเปิดเนี่ยมันชัดเจนถึงขนาดว่าเป็นฆาตกรรมได้ เพราะว่าตัวผมเองก็เชื่อมาตลอดนะครับว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่นอนน่าจะมีอะไรลึกกว่านั้น แต่ผมไม่มีพยานหลักฐาน แต่ตัวคนที่อ้างว่ามีหลักฐานเด็ด ผมก็เห็นเลื่อนมาเรื่อยเลย ยังไม่ได้มีอะไรมาเปิดเลยนะครับ

พิธีกร : ความเชื่อของเราว่าไม่น่าจะเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่หลักฐานที่เปิดออกมา ณ ตอนนี้ มันจะไปสู่ฆาตกรรมมันต้องชัดกว่านี้หรือเปล่า
ทนายษิทรา : ณ เวลานี้ยังไม่ถือว่าไปสู่เรื่องฆาตกรรมได้ แต่ผมติดใจอยู่อย่างหนึ่งที่เขาเคยไลฟ์สดแล้วเขาพูดว่าเขามีคลิปการทำร้ายกันบนเรือ แต่ทุกวันนี้ยังไม่เห็นเลย ซึ่งผมก็คิดว่าคงจะไม่มี น่าจะเป็นการเรียกกระแสมากกว่า

พิธีกร : การที่แม่แตงโมเปลี่ยนแกนตอนนี้จะช่วยในการดำเนินคดีได้ไหมครับ
ทนายษิทรา : จริงๆ แล้วคุณแม่น่าจะต้องมาแนวนี้ตั้งนานแล้วนะครับ ต้องทวงความยุติธรรมให้กับลูกตั้งแต่แรกๆ เพราะถ้าตั้งแต่แรกๆ มันสามารถทำอะไรได้เยอะเลย และตอนนี้ตำรวจเขาสรุปสำนวนแล้วส่งไปที่อัยการ และอัยการจะส่งฟ้องศาลไม่รู้วันไหน มันช้าไปแล้วครับ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย

พิธีกร : คิดว่าคุณแม่ทำไมถึงพลิกแบบนี้ครับ ทนายตั้มมองยังไงครับ
ทนายษิทรา : อาจจะมีคนไปยุเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเงินด้วยครับ ว่าถ้ามาแนวนี้จะได้เงินเยอะกว่าหรืออาจจะมีใครไปพูดอะไรให้คุณแม่รู้หรือเปล่า ทำให้รู้สึกไม่พอใจทางตำรวจก็เลยมาแนวนี้หรือเปล่า

พิธีกร : แล้วทนายตั้มอยากจะเกี่ยวโยงกับคดีนี้เพิ่มเติมอีกไหมครับ
ทนายษิทรา : ก็ถ้าจะไปเกี่ยวกับคุณแม่ผมว่าไม่เกี่ยวดีกว่า เพราะว่าก็กลัวเหมือนหลายๆ คนจริงๆ แล้วไปทาง ส.ส.เต้ หรืออัจฉริยะ ก็ถูกทางแล้ว เพราะกลุ่มคนพวกนี้เขาบอกว่าเขามีหลักฐาน ผมก็เลยบอกว่าถ้ามีหลักฐาน ให้คุณแม่ฟ้องตรงเลย ในเมื่อตำรวจกับอัยการเขาไม่ได้ทำตามหลักฐานของทางอัจฉริยะ หรือ ส.ส.เต้ หรือบังแจ๊ค เราจะได้พิสูจน์กัน ถ้าเกิดว่ามัวแต่ไปสร้างคอนเทนต์ ไปร้องเรียนที่นั่นที่นี่เรื่อยๆ คดีมันไม่เดินหน้า เรามีหลักฐานในมืออยู่ เราก็ไปฟ้องศาลเลย

พิธีกร : ตกลงทนายตั้มอยู่ฝั่งไหนกันแน่ครับเนี่ย อยู่ฝั่งว่าอยากจะให้ไปถึงคดีฆาตกรรมไปสนับสนุนทั้ง ส.ส.เต้ สนับสนุนคุณแม่เปลี่ยนความคิด ณ วันนี้แล้ว ไปสนับสนุนทั้งคุณอัจฉริยะด้วยแบบนั้นหรือเปล่าครับ
ทนายษิทรา : ผมก็สนับสนุนแนวทางนี้ แต่ว่าของผมเนี่ยมันต้องอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐานครับ คือผมจะสนับสนุนอะไรที่มันลอยๆ หรือคิดไปเองไม่ได้ ผมสนับสนุนในเรื่องหาความยุติธรรมให้กับน้องแตงโม และก็เชื่อว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่จะกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรรมก็ต้องมีหลักฐานด้วย พร้อมฝากเพิ่มเติมว่า ขอให้คุณแม่สู้ให้น้องแตงโมให้สุดความสามารถเท่าที่แม่คนหนึ่งที่จะทำให้ลูกที่เสียชีวิตไปแล้วได้ครับ

พิธีกร : ผมขออนุญาตกลับมาที่อาจารย์กฤษณพงษ์ อาจารย์มองภาพรวมของคดีนี้ตอนนี้มันมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลากหลายเลย แล้วก็พลิกจากเรื่องของอุบัติเหตุมาเป็นอาชญากรรมแล้วพลิกกันตอนช่วงท้ายๆ วันนี้อัยการกำลังจะมีความเห็นสั่งฟ้องอยู่แล้วเนี่ย มันเป็นยังไงบ้างถ้าวิเคราะห์กันแบบนี้
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : ในคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยหลักสากลในช่วงแรกการรวบรวมพยานหลักฐานมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์ ทางเทคโนโลยี ทางนิติเวช วัตถุพยานที่เก็บรวบรวมจากที่เกิดเหตุ หรือการสอบปากคำพยานบุคคล พยานแวดล้อมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง จะเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด ถ้ามีคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้น แต่หากระยะเวลาผ่านมากว่า 3 เดือน แน่นอนว่าพยานหลักฐานต่างๆ เริ่มสูญหายไป เว้นแต่พยานหลักฐานทางเทคโนโลยีโทรศัพท์ จีพีเอสเรือ กล่องควบคุมเรือที่มีการบันทึกข้อมูลไว้เนี่ยจะยังคงอยู่ เชื่อว่าตำรวจคงมีการไปสอบปากคำรวบรวมพยานหลักฐานจากการใช้โทรศัพท์ ข้อมูลจากโทรศัพท์รวมทั้งของคุณแตงโมด้วย

พิธีกร : เท่าที่อาจารย์ติดตามมา คิดว่าเพียงพอหรือยังที่จะสามารถโยงไปถึงเรื่องของอาชญากรรมได้ หรือจริงๆ แล้วโยงได้แค่ที่ตำรวจเค้าสรุปมาก่อนหน้านี้
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : คดีของคุณแตงโมมีความแตกต่างจากคดีอาชญากรรมทั่ว ไปตรงที่เหตุการณ์เกิดบนเรือ คนที่อยู่บนเรือเท่านั้นที่จะรู้ และเกิดกลางแม่น้ำเจ้าพระยาอีก ประการต่อมาคือภาพข้อมูลจากกล้องวงจรปิดก็ไม่มี คือมีแต่เห็นไกลๆ ลางๆ ต่างกับการเกิดรถชนบนถนนอาจจะหาภาพจากบนรถ เสาไฟฟ้าได้ ประการต่อมาคือบุคคลที่อยู่บนเรือก็ต้องยอมรับว่าดูเหมือนว่าไม่ค่อยได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการยินยอมให้ตรวจเลือด พิสูจน์ว่ามีสารเสพติด แอลกอฮอล์หรือไม่ การเข้าพบพนักงานสอบสวนตั้งแต่ในช่วงแรกการส่งมอบเรือให้ตรวจยึดอายัติให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจพิสูจน์เส้นผม คราบเลือดอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นความแตกต่างตรงนี้ที่มีความสำคัญทำให้พยานหลักฐานในช่วงแรกไม่ชัดเจน

พิธีกร : แสดงว่าตอนเก็บหลักฐานตั้งแต่แรกอาจารย์วิเคราะห์แบบนี้เนี่ย อาจจะรู้สึกว่ามันน้อยไป มันไม่ชัดเจนมากพอ มันไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดถึงขั้นฆาตกรรมบนเรือ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่เองก็น่าจะทำอย่างสุดความสามารถ แต่อาจต้องมาดูเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลเขาทำอย่างไร เราก็ทำให้มีความเป็นมืออาชีพเหมือนมาตรฐานสากล ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกมีช่องว่างอยู่ทั้งในเรื่องของกรณีบุคคลบนเรือทั้งหมดแยกย้ายกลับบ้าน อันนี้ผิดปกติจากหลักสากล และการพิสูจน์กันจนทราบว่าเขามีการปรึกษานักกฎหมาย เพราะฉะนั้นข้อมูลที่มีจึงยืนยันว่าคนๆ เดียวเท่านั้นที่คุณแตงโมใกล้ชิดแล้วพลัดตกลงไป ถ้านักกฎหมาย คนทำงานด้านตำรวจพอฟังก็จะเริ่มรู้แล้วว่ามีการปรึกษานักกฎหมาย การที่ไปยืนยันว่าคนเดียวเท่านั้นที่เห็นคุณแตงโมพลัดตกเรือก็จะทำให้โดยทางหลักเชื่อว่าจะทำให้พยานทั้งหมดหรือบุคคลบนเรือให้การได้สอดคล้องกัน ซึ่งมีการเรียนการสอนในโรงเรียนตำรวจทั่วโลก ทุกการกระทำของคนร้ายไม่ว่าจะพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยหลักฐานก็จะยังพบร่องรอยหลักฐานเสมอครับ

พิธีกร : ในฐานะที่อาจารย์สอนตำรวจเรื่องของอาชญากรรมมาโดยตลอด มองว่าการทำหน้าที่ของตำรวจเป็นยังไงบ้างครับ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : ผมว่าในมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเขาก็มีข้อจำกัดหลายประการ ก็มองในมุมความเห็นใจในมุมตำรวจนะครับว่าไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนที่ได้รับแจ้งตั้งแต่ช่วงแรก การวิเคราะห์ การประเมินสถานการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นการฆาตกรรม ประการต่อมาความพร้อมในการทำงานของเขา เช่น พนักงานสอบสวนก็ไม่สามารถไปสั่งฝ่ายสืบสวนได้ ให้ไปตามภาพจากกล้องวงจรปิด เพราะว่าโดยระบบของตำรวจต้องอาศัยอำนาจผู้บังคับบัญชาเขาเหนือกว่าผู้กำกับ เพื่อเวลารายงานผู้กำกับไปก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้กำกับใช้ดุลยพินิจมองว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม ฉะนั้นการตัดสินเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการที่จะบูรณาการงานระหว่างตำรวจหน่วยงาน

พิธีกร : อย่างนี้ที่คุณอัจฉริยะไปฟ้องผู้บังคับบัญชาตั้งแต่เริ่มสืบสวนจนกระทั่งมาที่ผู้กำกับก็ในลักษณะแบบนี้หรือเปล่าที่การสั่งการไม่เร็วพอ ไม่ดำเนินการให้รอบคอบมากพอ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางคณะกรรมการสอบสวนของทางตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ตกลงในรายละเอียดที่เข้ามาดูแต่ละขั้นตอน ที่เขามีหลักปฏิบัติเนี่ย เขาได้ทำตามนั้นไหม แต่ผมอยากให้มองลึกไปกว่านั้นคือผมว่าเป็นปัญหาที่ระบบและโครงสร้างครับที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลยขององค์กรตำรวจ แล้วส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อันนี้เป็นหลักเป็นปัญหามานาน เราเลยมีการพูดเรื่องปฏิรูปตำรวจและเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างจากเมืองนอกตรงที่โครงสร้างของตำรวจเรายังขึ้นอยู่กับการเมือง 100% โดยระบบการทำงานของตำรวจเองก็ต้องยอมรับว่ามีการโยกย้ายสายงานแบบปรับเปลี่ยนได้ เช่น จราจรมาอยู่สอบสวน สอบสวนมาอยู่ฝ่ายสืบสวน สืบสวนไปอยู่ธุรการ ไม่ได้พัฒนาความเป็นมืออาชีพ เพราะความเชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน หลักคิดของการทำงานของตำรวจแบบนี้ 100 ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นโลกเปลี่ยนไปเยอะ เวลาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นก็มีความซับซ้อนมากขึ้น คนรู้มากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าให้คนมาทำงานพนักงานสอบสวนต้องพัฒนาเขาให้มีความเป็นมืออาชีพนะครับ

พิธีกร : ถามอาจารย์ว่า บังแจ๊คเขาคิดอะไร วางแผนแบบไหน เขาต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับช่วงท้ายอย่างนี้ ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ อาจารย์มองว่าคนอย่างบังแจ๊คซึ่งมีประวัติมากมาย คนๆ นี้เป็นยังไงในมุมมองของอาจารย์ครับ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : เรื่องของโทรศัพท์ของคุณแตงโม ในช่วงแรกตำรวจจะยึดไว้เพื่อตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าไม่สามารถจะนำโทรศัพท์กลับออกมาได้ แต่ ณ ตอนนี้ที่การสอบสวนเสร็จแล้วในชั้นตำรวจ ดังนั้นโทรศัพท์ก็ได้มีการส่งมอบกลับไปให้คุณแม่แตงโม ตรงนี้สำคัญว่าบังแจ๊คเข้ามาเกี่ยวข้องตามข่าวว่ามีการส่งมาให้บังแจ๊ค จะมีคำถามตามมาว่าแล้ววัตถุประสงค์ เจตนาที่เขาต้องการโทรศัพท์แตงโมเพราะอะไร ก็ต้องยอมรับว่าในโทรศัพท์ของเราทุกคนจะมีภาพถ่าย คลิป เสียง พวกนี้เป็นร่องรอยทั้งหมดข้อมูลสำคัญอยู่ในโทรศัพท์ ซึ่งตรงนี้ทางบังแจ๊คเองก็ทราบ เพราะฉะนั้นการที่ได้โทรศัพท์ของแตงโมไปนั้น ถ้ามองได้ 2 ประเด็นคือ 1. เขาอาจจะมีเจตนาดีในการที่จะช่วยสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดจริงๆ เพราะเขาอาจจะเชื่อว่าข้อมูลในโทรศัพท์อาจจะมี ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือคลิปในช่วงขณะเกิดเหตุ

พิธีกร : แต่ถ้าบอกว่าอยู่ในมือตำรวจ และตำรวจเอาไปตรวจค้น ดึงข้อมูลเข้ามาเพื่อทำสำนวนคดีแล้ว ทำไมคนถึงยังเชื่อว่ามีอะไรแฝงอยู่ข้างในอีกครับ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : ขึ้นอยู่กับว่าทางบังแจ๊คคุยหรือสื่อสารกับคุณแม่ว่าอย่างไร ตรงนี้ต้องไปดูรายละเอียดซึ่งตำรวจเองก็มีการเรียกคุณแม่ไปพบ กับในประเด็นที่ 2. คืออาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องการช่วยในการสืบสวนหาตัวคนร้าย แต่เป็นเพราะว่าเขาอาจจะต้องการให้คดีนี้ยังได้รับความสนใจอยู่ หรืออาจจะเป็นการสร้างยอดไลค์ สร้างกระแส ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตีความของคนครับ

พิธีกร : แล้วการที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่มันอยู่ในคลิปแบบนี้ มีหายคนบอกว่าทำไม่ถูกต้อง เกินเลย ไม่ให้คุณค่ากับคุณแตงโม ในทางกฎหมายแล้วสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับบังแจ๊คได้ไหม เพราะตอนนี้โทรศัพท์ก็อยู่ในมือเขาโดยที่เหมือนกับเป็นการซื้อไป เพื่อเอาไปเปิดเผย
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : การซื้อหรือไม่ต้องไปตรวจสอบนะครับว่ามีการซื้อไปจริงหรือไม่ ส่วนการที่มาเปิดภาพหรือคลิปต่างๆ ต้องมาดูเป็นแต่ละกรณีแล้ว เช่น ภาพที่มีการเปิดออกมาถ้าเกี่ยวข้องกับคดี หรือบ่งบอกได้ว่าเกี่ยวข้องกับช่วงวันเวลาขณะเกิดเหตุ อาจจะเป็นประโยชน์กับการที่จะทำให้ข้อสงสัยบางประเด็นชัดเจนขึ้น เช่น ตกลงไม่ใช่อุบัติเหตุแต่อาจจะเป็นการฆาตกรรม

พิธีกร : อาจารย์คิดในแง่มุมนั้นหรือไม่ว่าช่วยในการดำเนินคดี และช่วยทำให้พยานหลักฐานชัดเจนขึ้น
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : เท่าที่ติดตามผ่านสื่อนะครับ ก็ยังดูแล้วยังไม่ชัดเจนนะครับ ยังรู้สึกเหมือนกับว่าภาพที่เปิดออกมาเนี่ย ดูเหมือนกับว่ายังไม่ได้โยงกับคดี แต่ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคไปพิสูจน์ ก็มีบางท่านให้ข้อสังเกตว่าดูเหมือนกับจะเป็นการจับแพะชนแกะ ไปนำภาพ คลิป ในโทรศัพท์ของคุณแตงโมมา และพยายามไปโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมว่าหลักสำคัญคือถ้าเราเจตนาดีในการที่จะช่วยนำข้อมูลอะไรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการที่จะทำให้คดีคลี่คลาย ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีเพียงแต่รูปแบบในการนำเสนอ การสื่อสารก็มีความสำคัญ และประการสำคัญคือต้องให้เกียรติเคารพในความเป็นคุณแตงโมเป็นบุคคล ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว

พิธีกร : อาจารย์กำลังจะบอกว่า บังแจ๊คได้ทำในรูปแบบนั้นหรือเปล่าครับ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : ผมว่าสังคมจะเป็นผู้พิจารณาและตัดสินใจ เขาบอกว่าการที่คนๆ หนึ่งวันหนึ่งประกาศตัวว่าจะเป็นคนดี ทำเพื่อสังคมคนก็จะมองย้อนกลับไปว่าประวัติศาสตร์คนๆ นั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาเขาจะทำไม่ดี แต่เรื่องนี้เขาจะทำกีไม่ได้ แต่ประวัติศาสตร์จะสะท้อนความเป็นตัวตนของคน ถ้าโทรศัพท์ตอนนี้อยู่ในมือบังแจ๊คจริง แล้วมีข้อมูล คลิป ภาพ ต่างๆ ที่เกี่ยวกับช่วงวันเวลาเกิดเหตุ ผมว่านำมาให้เจ้าหน้าที่เลยดีกว่า เพื่อให้ตรวจสอบให้ชัดเจน

พิธีกร : ตอนนี้มีความเชื่อหลากหลายทั้งฆาตกรรมและอีกด้านก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุตำรวจก็แบบนั้น มีการเปิดโปงออกมา คนติดตามก็สับสน เราจะติดตามเรื่องนี้ยังไงให้ความสับสนวุ่นวายหลายความคิดออกมาในทิศทางเดียวกัน เราต้องรออะไรยังไงบ้างครับ
รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ : อยากให้เรามีการติดตามในคดีนี้อย่างมีสติ ไม่ว่าใครจะมีการเปิดเผยข้อมูลในทางลบหรือทางบวกที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์กับรูปคดีก็ตามข้อให้ดูวิธีการ การนำเสนอแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับ และถ้าใครมีข้อมูลเบาะแสช่องทางต่างๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์หรือตำรวจอาจจะยังไม่มีข้อมูลหลักฐานตรงนี้ อาจจะเป็นพยานหลักฐานใหม่ คุณแม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายสามารถจัดตั้งเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลได้เองเลย


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง