เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ,เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ, อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงกรณีมติครม.ให้เดินหน้าพัฒนานิคมอุตสาหกรรมจะนะ ขัดแย้งกับมติครม.เมื่อเดือนธันวาคม 2563
เบญจา กล่าวว่าคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ไว้กับประชาชนชาวจะนะ ผ่านไป 1 ปี รัฐบาลกลับตระบัดสัตย์ ประชาชนชนชาวจะนะจึงได้มาทวงสัญญา โดยชาวบ้านจะนะกว่า 50 ชีวิตได้เดินทางมาจากจังหวัดสงขลา กว่า 1000 กิโลเมตร เพื่อเข้ามาชุมนุมอย่างสันติ เรียกร้องให้รัฐบาลทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับชาวจะนะในการตรวจสอบนิคมอุตสาหกรรม แต่กลับถูกสลายการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามสากล และมีผู้ถูกจับ 37 คน จากนั้นลูกหลานชาวจะนะจึงมายื่นหนังสือต่อกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร ให้ ตรวจสอบการสลายการชุมนุม และตรวจสอบความผิดปกติของโครงการนิคมอุสาหกรรมจะนะให้ครบทุกมิติ มีข้อเรียกร้อง ขอให้ตรวจสอบการดำเนินงานของ ศอ.บต. เรื่องกระบวนการการเปลี่ยนสีผังเมืองและการจัดการการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ขอให้ตรวจสอบการดำเนินงานคณะกรรมการนิคมอุสาหกรรมชุดที่ พลเอกประยุทธ์ แต่งตั้งขึ้นมา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 เนื่องจากกลไกลดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่ตกลงเอาไว้ และรัฐบาลต้องจัดการศึกษาโครงการโดยยุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วม โดยต้องดำเนินการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและนักวิชาการต้องได้การยอมรับจากทุกฝ่าย ระหว่างนี้รัฐบาลต้องสั่งระงับโครงการนี้ก่อน จนกว่าจะดำเนินการตามที่เรียกร้องมา และสุดท้ายรัฐบาลต้องยุติการดำเนินคดีกับชาวบ้านเครือข่ายจะนะรักถิ่นกว่า 37 คน เพราะประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการปกป้องบ้านเกิดจองตนเอง และสิทธิของพวกเขาได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
เบญจากล่าวต่อไปว่า จากกรณีดังกล่าว พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา จะต้องชี้แจงให้ชัดเจน จากกรณีที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวนชน ถึงข้อตกลงที่เกิดขึ้น เป็นข้อตกลงส่วนตัวของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า กับชาวบ้าน ไม่เกี่ยวข้องกับคณะรัฐมนตรี แต่ระหว่างการประชุมกรรมาธิการการกระจายอำนาจ ปลัดสำนักนายกฯ ได้ชี้แจงว่า ข้อตกลง MOU ได้นำเข้าคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ด้วย และคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบ และผู้เซ็นคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และในคำสั่งได้ระบุชัดเจนว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนี้ ทางคณะรัฐมตรีมีมติรับทราบ และมีมติเห็นชอบให้ระงับโครงการก่อน แต่ผลการประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคม ผ่านมา มีการรับรองรายงานความคืบหน้าการจัดการแผ่นแม่บทการพัฒนาพื้นที่ และมีการปรับปรุงการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และเพื่อรองรับเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าในอนาคต ของจังหวัดสงขลา โดยมติครม.นี้ ขัดแย้งกับมติ ครม.ของวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ตนจึงอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า ขอให้รัฐบาลทำการทบทวนมติครม.ดังกล่าว อย่าตระบัดสัตย์กับประชาชน
“พรรคก้าวไกลไม่ได้ต่อต้านการพัฒนาและไม่เคยต่อต้านความเจริญ แต่คนอยากเห็นการพัฒนาที่เห็นหัวประชาชน มีการจัดสรร แบ่งปันให้กับประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่แบ่งปันให้กับกลุ่มทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น และขอให้รัฐบาลอย่าฟังเสียงกระซิบของนายทุน แต่ต้องฟังและสนใจเสียงของพี่น้องประชาชน ดิฉันยืนยันว่านิคมอุตสาหกรรมจะนะไม่จำเป็นต้องเกิด เพราะอีกสองนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ยังไม่มีการลงทุนเต็มพื้นที่เลย หากเปิดอีกนิคมก็จะกลายเป็นพื้นที่รกร้างไร้การลงทุน ส่วนข้ออ้างเรื่องการสร้างอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ายิ่งฟังไม่ขึ้น ทุกวันนี้ไทยมีโรงไฟฟ้ามากเกินไป มีพลังงานสำรองมากจนประชาชนต้องแบกรับค่าไฟแพงกว่ามาเลเซียแล้ว อยากให้รัฐบาลกล้าทำกล้ารับ ว่าตกลงที่ดันโครงการจะนะแบบไม่ลืมหูลืมตา เป็นการดันเพื่อประโยชน์นายทุนหรือประชาชน” เบญจา กล่าว
ด้าน ประเสริฐพงษ์ กล่าวว่า ก่อนมติครม. 15 ธค 2563 เป็นมติครม. ที่นิพนธ บุญญามณี รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการผลักดันนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ตนมองว่าการออกมติครม.ซ้ำซ้อนกันหลายครั้ง เป็นการขัดเเย้งกับที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อประชาชนเเละสื่อมวลชน โดยเรื่องของการกว้านซื้อที่ดิน เป็นการที่ปรากฎในข้อเท็จจริง โดยการพัฒนาโครงการดังกล่าวไม่ได้มีความจำเป็นต่อทางเศรษฐกิจเลย เเต่ยังส่งผลกระทบให้กับสิ่งเเวดล้อมเเละคุณภาพชีวิตประชาชน
และตนขอตั้งคำถามว่า ศอบต.ทำหน้าที่อะไร ที่จะไปออกหน้าพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดังกล่าว และไปโฆษณาว่านิคมจะช่วยเรื่องการจ้างเเรงงาน พัฒนาเศรษฐกิจชายแดนใต้ ศอ.บต. แน่ใจหรือว่านิคมจะนะจะช่วยแก้ปัญหาชายแดนใต้ เพราะนอกจากการจ้างงานจะไม่เกิดขึ้นจริง เพราะไม่มีใครไปลงทุน การผลักดันโครงการอย่างดื้อแพ่ง ไม่ฟังเสียงประชาชน เอาทหารตำรวจไปสลายการชุมนุมในพื้นที่ ไปข่มขู่พี่น้องประชาชน รังควานผู้นำศาสนา ยังเป็นการทำร้ายจิตใจคนในพื้นที่ ซ้ำเติมปัญหาชายแดนใต้เข้าไปอีก
ขณะที่อภิชาติ ศิริสุนทร กล่าวในฐานะประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ว่า ทางกมธ.ได้ตั้งอนุกมธ.ศึกษาผลจากการเสนอโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจ จะนะ สงขลา โดยได้ทำรายงานศึกษาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เเละทางสภาได้รับทราบ เเละเสนอต่อรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
จากผลการพิจารณา พบว่าโครงการนี้ไม่ได้ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจ เเละสรุปไม่ได้ว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างประโยชน์อย่างใดในพื้นที่ ทั้งในการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชุมชน เเละเศรษฐกิจโดยรวม รวมไปถึงโครงการดังกล่าวไม่ได้เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมให้กับพี่น้องประชาชน เเละเรากังวลว่าโครงการจะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายอย่างชัดแจ้ง เพราะมีการกว้านซื้อที่ดินเก็งกำไรล่วงหน้าโดยเครือญาติของนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช. มหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถือเป็นกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง