วันนี้ (25 ส.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานสถานการณ์ภาวะสังคมประจำไตรมาสที่ 2/64 จากสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุถึงแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นตามแนวโน้มการส่งออก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเห็นว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังทำให้แรงงานมีความเปราะบาง จึงมอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันพิจารณามาตรการการจ้างงาน มาตรการพยุงการจ้างงาน ช่วยเหลือให้แรงงานยังมีรายได้เพราะในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างน้อย 3 ปีตั้งแต่ปี 2563-65 สร้างจุดเปราะบางหลายจุด เกิดทั้งผู้ว่างงาน ผู้เสมือนว่างงานคือทำงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ที่พบว่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้องมีมาตรการรองรับสำหรับผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนคือกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ที่มีแนวโน้มต้องใช้เวลาหางานยาวนานขึ้น
“นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ที่รัฐบาลจะดำเนินการคือการควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็ว พยุงการจ้างงานและดูแลรายได้ของประชาชน โดยการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้จีดีพี พื้นตัวได้เร็วขึ้น” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณามาตรการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการลักษณะร่วมจ่าย หรือ co-pay การดึงเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ทุกมาตรการและโครงการสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายที่โปร่งใส ปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้
รวมถึงพิจารณามาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากรายงานของ สศช. ระบุให้เห็นภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยขอให้มาตรการต่างๆ การดำเนินการอ่างระมัดระวัง เข้าถึงลูกหนี้จริง ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียทั้งต่อตัวลูกหนี้เองกับผู้ประกอบการ ไม่ให้มีการออกไปใช้หนี้นอกระบบ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้ผู้ประกอบการต้องขาดทุนจนเกิดผลกระทบเชิงระบบการเงินในภาพรวม