คัดลอก URL แล้ว

นักธุรกิจนักลงทุนหมื่นล้าน หนุนประเทศไทยใช้ Bitcoin เป็นกองทุนสำรอง

จากกระแสของ Bitcoin ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลหลักของโลกที่สร้างสถิติราคาสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ (All Time High) ด้วยราคา 1 BTC = 99,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,465,000 บาท นั้น เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ได้เกิดกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์และแวดวงการลงทุนอย่างคริปโทเคอร์เรนซี เมื่อนายวรวัฒน์ นาคแนวดี หรือ แอ็คมี่ เจ้าของฉายา Acme Traderist ออกมาประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊ก Acme Traderist – Worawat Narknawdee เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยใช้ Bitcoin เป็นกองทุนสำรอง โดยระบุว่า “ถ้าประเทศไทยต้องการ “Bitcoin” (BTC) เพื่อเป็นกองทุนสำรอง ติดต่อได้ที่ inbox นะครับ” พร้อมติดแฮชแท็ก #AcmeTraderist ทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้าไปคอมเมนต์และแชร์โพสต์ดังกล่าว บ้างก็แชร์โพสต์และแท็กไปถึงเพจของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงโพสต์ดังกล่าวนี้

โดยนายวรวัฒน์ นาคแนวดี นักธุรกิจนักลงทุนชื่อดังของไทย วัย 36 ปี ที่มีชื่อเสียงในวงการการเงินและเทคโนโลยี (Fintech) โดยเฉพาะด้านการเทรดและสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยว่า ปัจจุบันเป็นซีอีโอของบริษัท Fintech “บิทแนนซ์” (Bitnance) ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2021 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท และยังเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Traderist ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ให้มีความรู้ความสามารถด้านการลงทุนและใช้ชีวิต เรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้ มาตลอดกว่า 12 ปี ทำให้เป็นนักเทรดและนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในวงการการลงทุน และมีผู้ติดตามจากทั่วโลกมากกว่า 5,000,000 คน “ผมเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกของไทยที่ศึกษาเรื่องราวด้านคริปโทเคอร์เรนซี – บล็อกเชน และเป็นผู้ลงทุนทำเหมืองขุด Bitcoin ด้วยตนเอง มาตั้งแต่ช่วง 3 ปีแรกของอายุ Bitcoin ซึ่งในขณะนั้น Bitcoin ยังไม่มีกฎหมายควบคุมและไม่เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป โดยได้เริ่มขุด Bitcoin ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 บาท ต่อ 1 BTC ทำให้มีกำลังขุด Bitcoin ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ต่อมาในปี 2014 เกิดการล่มสลายของ Mt.Gox ศูนย์ซื้อขายคริปโตอันดับหนึ่งของโลก จึงทำให้ราคา Bitcoin ตกลงอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด ผมจึงได้ยุติการขุด Bitcoin และขายเครื่องขุด Bitcoin ทั้งหมดรวมถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มี และรวบรวมเงินทุนทั้งหมดกว่า 30 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อ Bitcoin ที่ราคา 10,000 บาท ต่อ 1 BTC ทำให้มีจำนวนการถือครอง Bitcoin เพิ่มขึ้นอีกกว่า 3,000 BTC จึงทำให้ปัจจุบันผมเป็นบุคคลที่มี จำนวน Bitcoin ถือครองอยู่มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย”

นายวรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ต่อมาผมได้นำ Bitcoin บางส่วนไปต่อยอดด้วยการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลก โดยการลงทุนครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยเน้นที่เมืองดูไบเป็นหลัก มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท (300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury ธุรกิจการบริการ บริการด้าน Fintech ในปี 2023 ที่ผ่านมาผมได้เคยสร้างปรากฏการณ์แจก Bitcoin มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึงสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2017 ผ่านกิจกรรมให้ความรู้เรื่องสกุลเงินดิจิทัลที่ Show DC โดยในงานได้ทำการแจก Bitcoin ให้แฟนเทรดจำนวน 1,690 คนที่เข้าร่วมงาน เป็นจำนวนกว่า 13 BTC ครั้งที่ 2 ในปี 2021 ก็จัดกิจกรรมแจก Bitcioin อีก 3 BTC ให้แฟนเทรดและแฟนคลับทั่วโลก จำนวน 5,601 คน กลางงานคอนเสิร์ตของวง DoubleDeep (ที่มีเพลงฮิตอย่าง “Bitcoin (ฝันใหม่) ซึ่งสร้างจากประสบการณ์ชีวิตจริงของผม) จากการแจก Bitcoin ทั้งสองครั้งเป็นจำนวนกว่า 16 BTC คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 55,440,000 บาท (มูลค่า Bitcoin ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2024 ข้อมูลจากเว็บไซต์ Investing)

นอกจากนี้ เมื่อปี 2021 ผมยังได้ก่อตั้งสกุลเงินดิจิทัล หรือเหรียญคริปโตที่มีชื่อว่า ACT(ACET) ซึ่งมีผู้ถือครองเหรียญทั่วโลกกว่า 150,000 คนทั่วโลก ณ ปัจจุบัน โดยเหรียญ ACT(ACET) และมีมูลค่าการซื้อขายรวมถึงปัจจุบัน ประมาณ 381,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,175,000,000 บาท อีกด้วย “โดยในปี 2023 ผมได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ “สาขาการเงิน” จากมหาวิทยาลัยนานาชาติยุโรป หรือ European International University, EIU-Paris ในฐานะเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลด้านวงการเทคโนโลยีการเงินของโลก ที่ได้รับปริญญานี้“ นายวรวัฒน์กล่าวในตอนท้าย


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง